โรคความดันโลหิตสูงอย่าปล่อยไว้ อันตรายกว่าที่คิดจริงตามที่คุณกล่าวเลยค่ะ! โรคความดันโลหิตสูง ถือเป็น "ภัยเงียบ" หรือ "ฆาตกรเงียบ" ที่อันตรายกว่าที่หลายคนคิดมาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการเตือนในระยะแรก แต่ความดันที่สูงอยู่ตลอดเวลากลับกำลังทำลายอวัยวะสำคัญภายในร่างกายอย่างเงียบ ๆ
การปล่อยให้ความดันโลหิตสูงโดยไม่รักษาอย่างต่อเนื่อง หรือรักษาไม่ถึงเป้าหมาย นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนี้:
ภัยเงียบจากความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้
ความดันโลหิตสูงทำลายหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนในอวัยวะสำคัญที่เรียกว่า "Target Organs" ดังนี้:
1. อันตรายต่อสมอง (อัมพฤกษ์/อัมพาต)
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): ความดันสูงทำให้หลอดเลือดในสมองเสื่อมสภาพ แข็งตัว และอุดตัน หรือร้ายแรงกว่านั้นคือ หลอดเลือดสมองแตก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตและความพิการในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
สมองเสื่อม: ความเสียหายต่อหลอดเลือดเล็ก ๆ ในสมองอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมและปัญหาด้านความจำ
2. อันตรายต่อหัวใจ (หัวใจวาย)
หัวใจโต/หัวใจล้มเหลว: หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติในการบีบเลือดผ่านหลอดเลือดที่มีแรงต้านทานสูง ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวและโตขึ้น จนเกิดภาวะอ่อนล้าและนำไปสู่ หัวใจล้มเหลว (มีอาการเหนื่อยง่าย หอบ ขาบวม)
หลอดเลือดหัวใจตีบ: หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดความเสียหายและตีบตัน ทำให้เสี่ยงต่อ ภาวะหัวใจขาดเลือด และ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack)
3. อันตรายต่อไต (ไตวายเรื้อรัง)
โรคไตวายเรื้อรัง: ความดันสูงทำลายหลอดเลือดฝอยที่ทำหน้าที่กรองของเสียในไตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไตค่อย ๆ เสื่อมสภาพจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และเป็น สาเหตุหลักอันดับสอง ของการเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกไต
4. อันตรายต่อดวงตา (ตาบอด)
จอประสาทตาผิดปกติ: หลอดเลือดเล็ก ๆ ที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาเกิดความเสียหาย อาจเกิดการตีบตัน หรือมีเลือดออก ทำให้การมองเห็นแย่ลง ตามัว หรือร้ายแรงที่สุดคือ ตาบอด
สรุปความรุนแรง
โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ไม่ดี ไม่ได้เป็นเพียง "อาการปวดหัว" หรือ "ตัวเลขที่สูง" แต่เป็นการเร่งให้เกิดภาวะ หลอดเลือดแดงแข็ง ทั่วร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การเป็น อัมพฤกษ์/อัมพาต หัวใจวาย และ ไตวาย ในที่สุด
การรักษาอย่างต่อเนื่องและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ลดความเสี่ยงหลอดเลือดสมองได้ 35−40% และลดโรคหัวใจล้มเหลวได้กว่า 50% หากควบคุมได้ดี)